PHP Category

Check Date Format ด้วย Regular Expressions

March 6th, 2008 by cpcpyc in PHP

เป็นการเช็ค date format ว่าใส่เข้ามาถูกต้องมั้ย ด้วย regura expression

<?php  // Date format (yyyy-mm-dd) checking 
 $myDate = “2008-01-01″;
 if( preg_match(”/(19|20)\d\d[-](0[1-9]|1[012])[-](0[1-9]|[12][0-9]|3[01])/”,
    $myDate) )
 {
    echo “Good date :)”;
 }
 else
 {
    echo “Bad date :(”;
 }
 ?>  

Smarty Template Engine

March 3rd, 2008 by cpcpyc in PHP

Smarty Template Engine หรือเรียกสั้นๆว่า smarty เป็นชุด Class Library ที่สร้างขึ้น เพื่อมาจัดการส่วนการแสดงผล  หรือ Presentation Layer หรือ Views ใน MVC ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม และใช้งานง่าย

ทำไมต้อง Smarty ?
ถ้าเก่งภาษาอังกฤษ แนะนำให้อ่านโดยตรงที่นี่นะคับ http://smarty.php.net/whyuse.php

วัตถุประสงค์หลักสำหรับการออกแบบโปรแกรม Smarty ขึ้นมานั้น ก็ เพื่อต้องการแยกการทำงานในส่วนของ การแสดงผล (Presentation Layers) ออกจาก ส่วนของ การประมวลผล ข้อมูล(Business Logic Layers) อย่างชัดเจน ซึ่ง โดย ส่วนใหญ่ แล้ว โปรแกรมการประมวลผล และ การแสดงผลจะ ใช้ รูปแบบ ของ ภาษาที่ ต่างกัน ค่อน ข้างชัดเจ นอยู่แล้วโดย ที่การ แสดง ผล เราจะ ใช้ ภาษา HTML ส่วนการ ประมวลผล เราจะใช้ ภาษา PHP

<strong>Business Logic Layer  -><font color=”#000080″>PHP</font>
Presentation Layer -> <font color=”#000080″>HTML</font></strong>

สำหรับ ส่วนการแสดงผล จะเป็นส่วนที่ แสดงข้อมูลต่างๆ ถึง ผู้ใช้งาน ระบบโดยตรง ซึ่งจะถูกสร้าง และ ดูแล ผ่าน ไฟล์ template ต่างๆ  และส่วนใหญ่ ถูกสร้าง และปรับปรุงโดย ผู้ออกแบบ(Designer) หน้าตาของ เว็บไซต์ หรือ ระบบโดยตรง นอกจากนี้ฟังก์ชัน พื้นฐานทั่วๆ ไปของ เว็บไซต์ หรือ ระบบ ก็จะเป็นการ ดึงข้อมูล แล้วไปกำหนดค่าที่ไฟล์ Template แล้วทำการแสดงผลออกมา และข้อมูล โดยทั่วไปแล้ว จะเป็น หัวเรื่อง ข้อมูลรายละเอียด อื่นๆ เกี่ยวกับ ข่าว ต่างๆ เป็นต้นสำหรับการออกแบบระบบถ้ามีการ แยกส่วนของการแสดงผล ออกจาก ส่วน ของการประมวลผล ข้อมูล ที่จะนำมาแสดง ออกจากกัน อย่างชัดเจนแล้วโปรแกรมเมอร์ ที่ดูแลโปรแกรม ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการแสดงผล ในขั้นตอนการเขียนและแก้ไขโปรแกรม
และ ขณะเดียวกัน ดีไซน์เนอร์ ผู้ที่ดูแลส่วนของของการแสดงผล ก็ ไม่ต้องห่วงเรื่อง ข้อมูล หรือโปรแกรม เวลาจะปรับปรุงหรือ แก้ไข รูปแบบการแสดงผล
และ โดยส่วนใหญ่ แล้ว การแก้ไข หรือ ปรับปรุงระบบส่วน มากจะเกี่ยวข้องกับการแสดงผล โดยส่วนใหญ่  เช่น การปรับปรุง tag html บางอย่าง การแก้ไข สไตล์ชีต (CSS) และส่วนใหญ่แล้ว ก็ จะใช้หรือทำผ่านโปรแกรมเฉพาะด้านต่าง อาทิ เช่น Dreamweaver เป็นต้น

สรุปหลักๆโดยรวม สำหรับข้อดี การใช้ Smarty

*) การปรังปรุง การประมวล ผลข้อมูลต่างๆ ทำได้ ค่อนข้าง อิสระ ไม่ต้องกังวล ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การแสดงมากนัก
*) ลดผลกระทบกับ โปรแกรมที่เกิดจาก Designer , โดยที Designer ยังสามารถแก้ไข ปรับปรุง การแสดงผลได้ตามต้องการ
*) ระบบความปลอดภัยของ โปรแกรม มีมากขึ้น รวมทั้ง ง่ายต่อการ ดูแลรักษาด้วย
*) Smarty มีฟังก์ชัน ที่ช่วยจัดการเกี่ยวกับ ความปลอดภัย รวมถึง การเข้า ถึง ข้อมูลในส่วนต่างๆ เป็นอย่างดี เราจึง สามารถ กำหนด  และบริหาร การเข้าถึง โปรแกรม สำหรับ Designer เพื่อป้อง กันปัญหาต่างๆ อัน อาจจะเกิดจาก การแก้ไข หรือปรับปรุงการแสดงผล ได้

อย่างไร ก็ตาม  ถึงแม้จะมีการแยกส่วนของโปรแกรม (Application Code) ออกจาก ส่วนการแสดงผล (Presentation) เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ก็ใช่ว่า การประมวลผลจะต้อง
แยกออกไปทั้งหมด  Smarty เข้าใจว่า สำหรับการประมวลผล บางอย่าง ยังมีความจำเป็น และน่าจะต้องทำในส่วนการแสดงผล เช่น

1. กรณี ที่ สำหรับ  ข้อมูลชุดเดียวกัน เวลาแสดงผลในตารางหนึ่ง สำหรับ บางแถว อาจจะต้องการแสดงผลด้วยสี อื่นๆ ต่างออกไป หรือ 
2. กรณี สำหรับ ข้อมูลชุดเดียวกัน ข้อมูล บางอย่าง อาจจะต้องการ แสดงให้เป็น ตัวหนา หรือ มีสีที่ต่างออกไป

  smarty จะทำให้เราแยกโปรแกรม php ออกจาก html แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเลยน้ะครับ แยก folder กันด้วย โดยที่ฝั่ง php ก็ทำงาน ไปเอาข้อมูล ไป query database ไป ได้ข้อมูลมา เช่น array ของข้อมูลลูกค้า ก็โยน (assign) ข้อมูลนี้ให้ smarty ส่วน smarty ก็เอาข้อมูลไปแสดง ไปเช็คว่าข้อมูลมีค่าไหม ถ้าไม่มีก็ขึ้นข้อความว่า “Not found” หรืออื่นๆ หรือถ้ามีก็แสดง list ออกมา มันจะทำให้เวลาที่เราต้องการแก้ไขหน้าตาของ web app แล้ว เราไม่ต้องไปยุ่งกับ code php ของเรา ก็แก้ที่ฝั่ง html แค่นั้นพอ ยังงี้แล้ว ทำให้เราเขียน 1 โปรแกรม แต่เอาไปรันได้ หลาย templates เลยทีเดียว หรือโปรแกรมแบบที่เขาแยก themes เลือก themes ได้ ใช้ smarty แล้วช่วยได้มากมายเลยครับในการนำ smarty มาใช้ เราสามารถ ดาวน์โหลด แล้วเอามาวางใน folder ใดๆ ใน app ของเรา แล้วก็ include หรือ require และเรียกใช้งานได้ทันที

ตัวอย่างขั้นตอนการใช้งาน (ใน Windows) เช่น:

1.       ดาวน์โหลดไฟล์ smarty ลองดูตรง “Latest Stable Release” แล้วดาวน์โหลดมา ในที่นี้ผมดาวน์โหลด Smarty 2.6.18 Source March 7th, 2007

2.       ทำการแตก zip ไฟล์ (.tar.gz ก็เป็น zip ไฟล์แบบหนึ่ง ไม่ต้องตกใจ สามารถใช้WinZip หรือ WinRar แตกได้สบายๆ) จะได้ folder ชื่อ Smarty-2.6.18 มา

3.       copy Smarty-2.6.18 ทั้ง folder ไปวางไว้ใน folder library ของคุณ หรือถ้าไม่มี ก็วางไว้ที่เดียวกับที่ app อยู่ แล้วเปลี่ยนชื่อจาก Smarty-2.6.18 เป็น Smarty ก็พอ จะได้จำง่ายๆ จากนั้นก็ลองเขียน app ง่ายๆ ดูเลย

ตัวอย่างโปรแกรม PHPFile: helloSmarty.php
——————–
<?php
    include “Smarty/libs/Smarty.class.php”;
   
    // สร้าง Smarty instance
    $smarty = new Smarty;    // เซตที่อยู่ของ template
    $smarty->template_dir   = ‘templates’;
    // เซตที่อยู่ของไฟล์ template ที่ compile แล้ว
    $smarty->compile_dir    = ‘templates_c’;    // assign ค่าให้ pattern ‘message’ (หรือจะเรียกว่า “ตัวแปร ของ smarty” ก็คงไม่ผิดอะไร)
    // เวลาเราอ้าง pattern นี้ใน template file จะอ้างเป็น $message
    $smarty->assign(’message’, ‘Hello Smarty!’);
    // สั่งแสดงผล โดยใช้ template file ที่ระบุ
    $smarty->display(’helloSmarty.html’);
?>ตัวอย่าง Template FileFile: templates/helloSmarty.html
——————–
<html xmlns=”http://www.w3.org/1999/xhtml”>
 <head>
  <title>Test Smarty - phpzealots.com</title>
  <meta name=”generator” content=”editplus” />
 </head> <body>
    <h1>{$message}</h1>
 </body>
</html>เสร็จแล้วลองเรียกรัน helloSmarty.php ดูครับอันนี้เป็นการใช้งาน Smarty แบบเบื้องต้นจริงๆ น้ะครับ ถ้าใช้งานจริง คุณอาจจะเก็บ library ของ Smarty (ที่อยู่ใน libs ทั้งหมด) ออกมาไว้ที่ folder Smarty แล้วย้าย folder Smarty นี้ไปไว้ใน library ของคุณ และอ้าง include_path มาหา เวลาเอาไปใช้งานจะได้ไม่ต้อง include ชื่อ folder ยาวๆ 

เว็บไซต์ : http://smarty.php.net/
Download : http://smarty.php.net/download.php
เอกสารการใช้งาน : http://smarty.php.net/docs.php


การส่งเมลล์ด้วย PHPMailer

March 3rd, 2008 by +::T@ng::+ in PHP

Contents

  1. PHPMailer What is it? What does it do? Who needs it? Brief examples of PHPMailer’s features.
  2. First time
    Sending your first email with PHPMailer. Tells you how to start. Anyone who completely understands the source on the PHPMailer homepage or README can skip this section.
  3. Using Attachments
    Sending mails with file attachments: filesystem, database or inline.
  4. Using HTML Mail
    Using the class’s integrated HTML Email features.
  5. Support: Where do I get help?
    How to find support resources: PHPMailer website, mailing list etc.
  6. Other Resources Email and PHP Resources
    There is a lot of information in the net about email, php and PHPMailer.

PHPMailer

PHPMailer is a PHP class for PHP (www.php.net) that provides a package of functions to send email. The two primary features are sending HTML Email and e-mails with attachments. PHPMailer supports nearly all possiblities to send email: mail(), Sendmail, qmail & direct to SMTP server. You can use any feature of SMTP-based e-mail, multiple recepients via to, CC, BCC, etc. In short: PHPMailer is an efficient way to send e-mail within PHP.

As you may know, it is simply to send mails with the PHP mail() function. So why use PHPMailer? Isn’t it slower? Yes that’s true, but PHPMailer makes it easy to send e-mail, makes it possible to attachm files, send HTML e-mail, etc. With PHPMailer you can even use your own SNTP server and avoid Sendmail routines used by the mail() function on *nix platforms.

This tutorial explains how to implement the class into your script or website and how to build an e-mail application. If you just want to send simple e-mail and you have no problems with the mail() function, it’s suggested that you continue to use mail(), instead of this class.

First time

For those who have not used PHP’s mail() function before, this section will provide information about email and e-mailing in general, in addition to explaining how to get started with PHPMailer.

Before continuing, please be sure that PHPMailer is installed correctly. If you feel uncertain, please read the installion instructions that accompany the package. If you’re still not sure, you can verify that you’ve installed PHPMailer correctly with this little script:

<?php
require(”class.phpmailer.php”);
$mail = new PHPMailer();
?>

Save it as a PHP document in the same directory where you’ve saved class.phpmailer.php. If no errors result from running the script, your installation has been done correctly. If you switched error messages and warnings off, then go ahead and set it on; refer to your PHP manual for more on this topic.

This snippet of code is also the start of any use of PHPMailer. require(”class.phpmailer.php”); includes the source code of the class and $mail = new PHPMailer(); creates a new instance of the class the class as $mail. All features, functions and methods of the class maybe accessed via the variable (object) $mail.

Merely creating an instance of the class is only the first step, of course. Let’s go ahead and send out the first mail. For this you’ll require the basics: An receipient address, a from address, a subject and the text of the message (called “mail-body” or simply “body” for short).

You will also need to select a method of delivering the message. We need a program to communicate with an SMTP server which, in turn, sends the mail out to the internet. In the *nix world, Sendmail is very popular and used widely.

PHPMailer provides several methods of sending mail. It’s best to start with SMTP, though (as mentioned above)_ the mail() function, Sendmail or qmail are also possible. When using SMTP, you’ll need a valid SMTP server; this may well be the same one that you use in your personal mail client.

Having gathered the necessary information to send your first e-mail, you’d use that information in place of the example information provided here:

<?php
require(”class.phpmailer.php”);
$mail = new PHPMailer();
$mail->IsSMTP(); // telling the class to use SMTP
$mail->Host = “smtp.example.com”; // SMTP server
$mail->From = “from@example.com”;
$mail->AddAddress(”myfriend@example.net”);$mail->Subject = “First PHPMailer Message”;
$mail->Body = “Hi! \n\n This is my first e-mail sent through PHPMailer.”;
$mail->WordWrap = 50;if(!$mail->Send())
{
   echo ‘Message was not sent.’;
   echo ‘Mailer error: ‘ . $mail->ErrorInfo;
}
else
{
   echo ‘Message has been sent.’;
}
?>

Save this as a php file and change the values to your values, of course. Here is an explanation of what each stanza in this script does:
$mail->IsSMTP();

This sets up STMP-Server as method to send out email(s).
$mail->Host = “smtp.example.com”;

Setting smtp.example.com as the SMTP server. Just replace it with your own SMTP server address. You can even specify more then one: just separate them with a semicolon (;): “smtp.example.com;smtp2.example.com”. If the first one fails, the second one will be used, instead.

Enter the address that the e-mail should appear to come from. You can use any address that the SMTP server will accept as valid.
$mail->From = “from@example.com”;

If displaying only an e-mail address in the “From” field is too simple, you can add another line of code to give the address an associated name. This will add ‘Your Name’ to the from address, so that the recipient will know the name of the person who sent the e-mail.
The following line
$mail->FromName = “Your Name”;

The following will add the to address, the address to which the e-mail will be sent. You must use a valid e-mail here, of course, if only so that you can verify that your PHPMailer test worked. It’s best to use your own e-mail address here for this inintial test. As with the “From” field, you may provide a name for the recipient. This is done somewhat differently:
$mail->AddAddress(”myfriend@example.net”,”Friend’s name”);
$mail->AddAddress(”myfriend@example.net”);

Setting the subject and body is done next. $mail->WordWrap = 50; is a feature of PHPMailer to word-wrap your message limiting all lines to a maximum length of X characters, even if not set as body= …. Admittedly, there’s not much point in wrapping the text in a message as brief as the one in this example.

Finally, we send out the e-mail, once all necessary information has been provided. This is done with $return = $mail->Send();. In this example script, it’s combined with an error message; if Send() fails, it’ll return false and you can catch it and display an error message. This is done in the last lines. Or, in case of success, it displays a kind of “done ” message.

Using Attachments

Sending plain text e-mails is oten insufficient. Perhaps you need to attach something to your mail, such as an image or an audio file. Or perhaps you need to attach multiple files.

There are two ways of attaching something to your mail: You can simply attach a file from the filesystem or you can attach (binary) data stored in a variable. The latter is called Stringattachment. This makes it possible put extract data from a database and attach it to an e-mail, without ever having to actually save it as a file.

File Attachments

The command to attach a file can be placed anywhere between $mail = new PHPMailer(); and !$mail->Send(); and it’s called AddAttachment($path);. This single line will add the attachment to your mail.

$path is the path of the filename. It can be a relative one (from your script, not the PHPMailer class) or a full path to the file you want to attach.

If you want more options or you want to specify encoding and the MIME type of the file, then you can use three more parameters, all of which are optional:
AddAttachment($path,$name,$encoding,$type);

$name is an optional parameter, used to set the name of the file that will be embedded within the e-mail. The person who will recieve your mail will then only see this name, rather than the original filename.

$encoding is a little more technical, but with this parameter you can set the type of encoding of the attachment. The default is base64. Other types that are supported include: 7bit, 8bit, binary & quoted-printable. Please refer to your SMTP documentation about encoding and the differences between types. In general, mail servers will convert encodings they don’t want to handle into their preferred encoding type.

$type is the MIME type of the attached file. Content types are defined not necessarily by file suffixes (i.e., .GIF or .MP3), but, rather, a MIME type (MIME = Multipurpose Internet Mail Extensions) is used. This parameter makes it possible change the MIME type of an attachment from the default value of application/octet-stream (which works with every kind of file) to a more specific MIME type, such as image/jpeg for a .JPG photo, for instance.

String Attachments

String attachments have been supported since PHPMailer version 1.29. This method works much like AddAttachment(), and is called with AddStringAttachment($string,$filename,$encoding,$type). The string data is passed to the method with the first parameter, $string. Because the string will become a standard file (which is what the attachment will be when received via e-mail), the $filename parameter is required. It’s used to provide that filename for the string data.

The rest is just the same as described in detail above.

So, why use AddStringAttachment instead of AddAttachment? Is it for text-only files? No, not at all. It’s primarily for databases. Data stored in a database is always stored as a string (or perhaps, in the case of binary data, as as a BLOB: Binary Large OBject). You could query your database for an image stored as a BLOG and pass the resulting string to the AddStringAttachment.

Inline Attachments

There is an additional way to add an attachment. If you want to make a HTML e-mail with images incorporated into the desk, it’s necessary to attach the image and then link the <img src=”cid:CID” /> tag to it. For example, if you add an image as inline attachment with the CID my-photo, you would access it within the HTML e-mail with <img src=”cid:my-photo” mce_src=”cid:my-photo” alt=”my-photo” />.

In detail, here is the function to add an inline attachment:

$mail->AddEmbeddedImage(filename, cid, name);

By using this function with this example’s value above, results in this code:$mail->AddEmbeddedImage(’my-photo.jpg’, ‘my-photo’, ‘my-photo.jpg ‘);

For more Information about HTML Email, see the section Using HTML E-Mail.

Handling Attachments

If you want to attach multiple files (or strings), just call AddAttachment() or AddStringAttachment() multiple times. All attachments (file, string, and inline) may be stripped from an e-mail by invoking ClearAttachments().

Using HTML Email

Sending out HTML e-mail is a simple enough task with PHPMailer, though it can require significant knowledge of HTML. In particular, mail clients vary greatly in their rendering of HTML e-mail, with some refusing to show it entirely. For those mail clients which are not able to display HTML, you can provide an alternate e-mail body containing the message as plain text.

First we’ll create a basic HTML message:

<?phprequire(”class.phpmailer.php”);$mail = new PHPMailer();$mail->IsSMTP(); // telling the class to use SMTP
$mail->Host = “smtp.example.com”; // SMTP server$mail->From = “from@example.com”;
$mail->AddAddress(”myfriend@example.net”);

$mail->Subject = “An HTML Message”;
$mail->Body = “Hello, <b>my friend</b>! \n\n This message uses HTML entities!”;

?>

It’s as easy as creating a plain text e-mail. Simply use a string with embedded HTML for $mail->body.

Before sending this out, we have to modify the PHPMailer object to indicate that the message should be interpreted as HTML. Technically-speaking, the message body has to be set up as multipart/alternative. This is done with:

$mail->IsHTML(true);

To make ensure that the recipient will be able to read the e-mail, even if his e-mail client doesn’t support HTML, use $mail->AltBody=”Hello, my friend! \n\n This message uses HTML entities, but you prefer plain text !”; to set the alternative body (AltBody in short). If you use this feature, the mail will be automatically set as multipart/alternative, making it unnecessary to specify $mail->IsHTML(true);.

And that’s how to create an HTML email. Simply apply the send command and the mail will be sent. It’s recommended that you avoid using HTML messages, because these messages are often used for viruses and exploits, they are much larger than plain text mails, and they’re not standarized in the way the plain text mail is. On the other hand, even attachments are used for viruses, but nobody would propose that we stop sending mails with attachments. Do what fits your needs: PHPMailer can be your solution, whatever you decide.

If you want to send out a HTML email with pictures, Flash animations or whatever else, PHPMailer supports this as well. Adding a picture to your HTML e-mail, for example, is explained in the Inline Attachments section. Briefly, here are 2 lines of code you’d use to insert an image before sending out an e-mail:

$mail->AddEmbeddedImage(”rocks.png”, “my-attach”, “rocks.png”);
$mail->Body = ‘Embedded Image: <img alt=”PHPMailer” src=”cid:my-attach” mce_src=”cid:my-attach”> Here is an image!’;

Support - Where do I get help?

PHPMailer is open source and published under the GPL. Most of the questions how to start are answered within this tutorial, but inevitably some questions may well remain. For this, PHPMailer has its own homepage on SourceForge and a mailing list where you can post your questions.


PHP Framework

March 3rd, 2008 by cpcpyc in PHP

Framework คืออะไร ??? 

ก่อนอื่น เพื่อความเข้าใจตรงกัน ขอพูดถึงความหมายของ Framework หรือ Application Framework ไว้ เพื่อเป็นแนวทางเดียวกัน ไม่ไขว้เขว 

Application Framework มีความหมายในภาษาอังกฤษคือ:
In computer programming, an application framework is a term usually used to refer to a set of libraries or classes that are used to implement the standard structure of an application for a specific operating system. By bundling a large amount of reusable code into a framework, much time is saved for the developer, since he/she is saved the task of rewriting large amounts of standard code for each new application that is developed.”
รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://en.wikipedia.org/wiki/Application_framework ซึ่งผมขอแปล และปรับ ตามความเข้าใจของผมเอง (ด้วยทักษะภาษาอังกฤษอันน้อยนิด) ว่า
Framework ก็คือ ชุดของ Libraries หรือ Classes สำหรับใช้ในการพัฒนาโปรแกรม โดยมีโครงสร้างของโปรแกรมที่เป็นมาตรฐาน (มาตรฐานตามที่คนสร้าง Framework กำหนด) โดยที่ภายใน Framework นั้น จะมี Code ที่ Reuseable หรือ Code ที่นำกลับมาใช้อีกได้ อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เราประหยัดเวลาในการทำ Application หนึ่งๆ ได้อย่างมากมาย เนื่องจากเราไม่ต้องเขียน Code เดิมๆ ซ้ำๆ ใหม่ทุกครั้งที่พัฒนา Application ใหม่ หรือ Application ที่ทำงานคล้ายๆ กัน รายชื่อของ PHP Framework เท่าที่พบ มีดังนี้น้ะคับ

การเขียนโปรแกรมสมัยก่อน หรือสมัยเริ่มแรกๆ ของ PHP ด้วยคุณสมบัติ HTML Embedded เราคงคุ้นเคยกับการเขียน code php ปนกันกับ html หรือ wml

และแล้วกาลเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า การเขียนโปรแกรมแบบนี้ ที่บางคน (โดยเฉพาะคนที่เคยเขียนแค่โปรแกรมเล็กๆ) มองว่ามันก็ง่ายดี ไม่ซับซ้อนเห็นได้ชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใน web application จริงๆ ซึ่งมีหน้าตา และการทำงานที่ใกล้เคียงกับ desktop application เข้าไปทุกที ทำให้ระบบมีขนาดใหญ่ มีการทำงานที่ซับซ้อนขึ้น ถ้าเขียนแบบสมัยก่อน ในการดูแล แก้ไข ปรับปรุง จะทำได้ค่อนข้างยุ่งยาก และเสี่ยงมาก เพราะต้องไปเปิด source code ที่มีจำนวนมาก แล้วมาไล่ และแก้ไขเป็นจุดๆ ไปจึงได้มีคนพยายามคิดหาวิธี ในการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ขึ้น ในรูปแบบ (pattern) ต่างๆ กันออกไป และ pattern ตัวหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายคือ